วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓

วันพุธที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒

วันที่ ลา ? ไม่โง่


เคยมีฝรั่งคนหนึ่งมาบวชเป็นพระป่าสายหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง

พอหลวงพ่อชาท่านสร้างวัดป่านานาชาติขึ้นมาก็ได้มอบหมายให้พระฝรั่งรูปนี้ไปทำ หน้าที่เป็นเจ้าอาวาส เมื่อเป็นเจ้าอาวาสแล้วท่านต้องรับผิดชอบภาระในการบริหารงานบริหารคนมากมาย จนทำให้เหนื่อยสายตัวแทบขาด

กระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ซึ่งคงจะเป็นช่วงเวลาที่ท่านรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทีกับงานการอันหนักหน่วง ได้มีศิษย์กลุ่มหนึ่งไปสนทนาธรรมกับท่านถึงที่วัด เมื่อคุยกันเสร็จแล้ว ศิษย์กลุ่มนั้นก็ขอลากลับ

แต่ก่อนจะลากลับนั้นเอง ศิษย์ผู้หญิงคนหนึ่งก็ยกมือขึ้นนมัสการพลางเอ่ยขึ้นว่า

"นมัสการ ลา เจ้าค่ะ"

คำว่า "นมัสการลา" นี้เองทำให้ท่านเกิดอาการบรรลุธรรมน้อยๆ (ซาโตริ) ขึ้นมาว่า

"โอ นี่ฉันคงทำงานหนักจนเป็นลาไปแล้วสินะ"

ความตระหนักรู้น้อยๆ นี่เองทำให้ท่านเริ่มมองเห็นว่า ตัวเองกำลัง "สุดโต่ง" ไปอีกโลกหนึ่งของการดำเนินชีวิต
ต่อมาท่านจึงขอลาออกจากตำแหน่งแล้วหันมาเป็นพระธรรมดาๆ ที่แบกภาระ "พอดีตัว" และอยู่อย่างมีความสุขมาจนทุกวันนี้ :D

กินยังไง...ไม่ให้ป่วย


เขาบอกกันว่า กองทัพเดินด้วยท้อง...เป็นอุปมาที่บ่งบอกให้เห็นว่า เรื่องของการกินนี้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่ย่อย

แต่จะกินอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่เป็นต้นเหตุให้เกิดโรคภัยตามมา

เรื่องนี้ น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ กล่าวว่า ถ้าจะทำให้สุขภาพดี อายุยืนยาว ต้องกินอาหารเช้าอย่างราชา อาหารกลางวันอย่างคนธรรมดา และอาหารเย็นอย่างยาจก

อาหารเช้าอย่างราชาที่ว่านั้น ถ้าใครขาดไปชีวิต

จะเริ่มต้นด้วยความเป็นกรด และอาหารที่ควรรับประทานจะเป็นจำพวกคาร์โบไฮเดรต วิตามินบี และซี ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาหารต้านความเครียดได้อีกด้วย

ส่วนเมนูเร็วและง่ายที่แนะนำนั้น คือ กล้วยหอม

1 ลูก+ส้ม 1 ลูก+นมหรือช็อกโกแลตร้อน 1 แก้ว

นั่นเพราะในกล้วยหอมมีแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ในส้มมีวิตามินซี

กากส้มเป็นเส้นใยไฟเบอร์ที่สามารถช่วยดูดซึมพิษในร่างกายและขับออกไป

และมีวิตามินซีมากกว่าน้ำส้ม ส่วนนมมีทริบโตเฟน ทำให้ร่างกายตื่นตัวและอารมณ์ดี

มื้อกลางวัน สามารถกินอะไรก็ได้ตามที่ชอบ เพียงแต่เลือกที่จะบริโภคน้ำตาล

และน้ำมันให้น้อยหน่อย ส่วนมื้อเย็นควรเลือกกินพืชผักผลไม้ที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่

เมนูมื้อเย็นที่แนะนำอาจเป็นผัดผักสักจาน ส้มตำอีกหนึ่ง ตามด้วยน้ำผลไม้ 1 แก้ว

กินผักผลไม้วันละครึ่งกิโลกรัม หรือดื่มน้ำผลไม้สดวันละ 3 แก้ว 3 สีก็ได้ จะทำให้สุขภาพดีขึ้น

ส่วนใครที่เป็นห่วงกลัวว่ากินแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตแล้วจะอ้วน

ไม่ต้องห่วง คุณหมอแนะนำว่า กินให้ช้า เคี้ยวให้ละเอียด กินพออิ่ม หรือราว 3 ใน 4 ส่วนของจาน

ส่วนโปรตีนนั้น สำหรับคนที่อายุ 35 อัพ ควรเลี่ยงสัตว์ใหญ่

โดยเฉพาะเลือดของสัตว์ เพราะก่อนสัตว์ตายจะหลั่งสารอะดรีนาลีนเข้าไปในกระแสเลือด ดังนั้นจึงควรเปลี่ยนไปกินปลาสักสัปดาห์ละ 3 มื้อ แต่อย่ากินทุกมื้อ

อีกชนิดหนึ่งที่ไม่ควรขาด นั่นคือ แคลเซียมวันละ 1,200-1,500 มิลลิกรัม โดยเฉพาะกับผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง และควรเลี่ยงน้ำตาลที่ผ่านการขัดสี เพราะจะมีสารเร่งความเครียด

ส่วนผู้ที่ขาดกาแฟไม่ได้ก็ควรเลี่ยงครีมเทียม โดยใช้นมอุ่นแทน แต่ทางที่ดีก็ควรดื่มกาแฟดำ และไม่ควรดื่มเกินวันละ 3 แก้ว

นอกจากจะกินอาหารดังว่าให้ครบ 3 มื้อแล้ว อย่าลืมเคี้ยวช้าๆ ที่สำคัญควรกินอย่างมีความสุขด้วย !!

สมาธิสยบเครียด


ต้องยอมรับว่าภาวะโลกตอนนี้เคร่งเครียดและกดดันเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าแทบทุกหย่อมหญ้าล้วนแต่มีคำว่า เครียด แทรกตัวอยู่เต็มไปหมด

ไม่ ต้องดูที่ไหน เอาแค่ที่บ้านเราก็รับแรงสะเทือนมาไม่น้อย ซึ่งแรงที่ว่านี้ขยายวงกว้างกวาดเอาทุกภาคส่วนร่วมสภาวะเดียวกันไปหมด และรวมไปถึงเรื่องสุขภาพของคน

มาดูกันว่ากระทบอย่างไรบ้าง ?

เด็กแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม หญิงตั้งครรภ์มีภาวะซีดเพิ่มมากขึ้น มีอัตราการตายของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเพิ่มมากขึ้น จะมีคนฆ่าตัวตายจากความเครียดเพิ่มมากขึ้น

ประชาชนลดการใช้จ่ายด้านสุขภาพลง ชะลอการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และหันไปซื้อยากินเอง ฯลฯ
ข้อมูล เหล่านี้กระทรวงสาธารณสุขพบว่า จากการออกสำรวจและได้จัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจ ศูนย์ติดตามสถานะสุขภาพจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ (Health Intelligent Unit : HIU)

เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล เฝ้าระวังและติดตามผลด้านสุขภาพ

ของคนไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแนวทางป้องกันแก้ไขปัญหาตลอดระยะ 2 ปีที่จะถึงนี้

แต่ก่อนที่จะมีมาตรการใดๆ ออกมา สาธารณสุขชักชวนให้คนไทยใช้ "สมาธิ" เขามาสยบวิกฤตเป็นลำดับต้นๆ
นั่น เพราะสมาธิจะทำให้จิตใจสงบ เมื่อใจสงบสติปัญญาที่จะแก้ไขปัญหานานาจะเกิด และยังสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคที่ความเครียดเปิดทางให้ได้อีกด้วย

นั่น เพราะยิ่งเครียด ความดันจะยิ่งพุ่งสูงขึ้น และถ้าความดันสูงเป็นเวลานานๆ หลอดเลือดแดงก็จะเสื่อมลง โดยเฉพาะในช่วงที่หลอดเลือดไปเลี้ยงสมอง หัวใจ และไต

ถ้าเจอสภาพแบบนี้บ่อยๆ ก็อาจทำให้หลอดเลือดในสมองตีบตัว หรือแตกได้ แถมยังทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก จนทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหน้า เป็นหัวใจโต เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจวายตายได้

การทำสมาธิจะ ทำให้เกิดความสงบ คลื่นสมองจะทำงานได้อย่างเป็นระบบ ทำให้ร่างกายหลั่งเอ็นโดรฟิน สารแห่งความสุข อารมณ์จะดีขึ้น เย็นขึ้น สมองจะผ่อนคลาย เกิดความคิดแจ่มใส ความจำดีขึ้น ความดันจะลดลง พร้อมๆ กับอัตราการเต้นของหัวใจก็จะเบาลง ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน ช่วยขจัดเซลล์ที่ผิดปกติ ขจัดอนุมูลอิสระได้ด้วยการส่งเสริมการทำสมาธินั้น

เขาเริ่มดีเดย์กันมาตั้งแต่วันมาฆบูชาแล้ว โดยสนับสนุนให้นั่งกันทุกวัน เป็นประจำ เริ่มกันตั้งแต่วันละนิดละหน่อย 5 นาที 10 นาที และค่อยๆ เพิ่มเป็น 15 นาที ครึ่งชั่วโมง หรือชั่วโมงต่อไป

เป็นการปลูกความสุขที่ใจ ใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว !!